ในกาลามสูตรพระพุทธองค์ทรงวางหลักความเชื่อไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน
๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
๒. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
ในโลกตะวันตกพระสูตรนี้ดัง คนอ่านส่วนใหญ่มักจะสรุปว่าพระพุทธศาสนาสอนว่าไม่ต้องเชื่อคนอื่น แม้แต่ครูบาอาจารย์หรือพระศาสดาเอง ต้องรู้เองพิสูจน์เอง ชาวตะวันตกที่หันมาสนใจศาสนาตะวันออก เพราะเบื่อหน่ายศาสนาดั้งเดิมของตนจะชอบมาก แต่ที่จริงคำที่สำคัญที่สุดในพระสูตรนี้คือคำว่า ‘ปลงใจเชื่อ’ ปลงใจเชื่อไม่ใช่ปฏิเสธ หรือไม่ให้ความสำคัญเลย ไม่ปลงใจเชื่อคือ ‘ไม่เชื่อ ๑๐๐% เพียงเพราะ…’ บางสิ่งบางอย่าง เช่น การเล่าลือเราฟังหูไว้หูดีกว่าแน่นอน แต่ในเมื่อผู้มีกิเลสหนายังเชื่อจิตใจตัวเองไม่ได้ บางอย่างเราเอาเป็นข้อสังเกตหรือข้อพิจารณา ส่วนคำสอนในพระคัมภีร์ คำสอนของครูบาอาจารย์เราเชื่อไว้ก่อนก็เป็นประโยชน์ เพื่อมีหลักมีแผนที่สำหรับการเดินทาง หลักที่พระองค์ทรงฝากไว้คือถึงจะเชื่อ ๘๐% หรือ ๙๐% หรือ ๙๕% อย่าให้มันถึงร้อย
พระอาจารย์ชยสาโร